กำลังเล่าเรื่องทริปอิตาลีเพลินๆ
เห็นข่าวเศร้าสะเทือนใจแล้ว...อดไม่ได้ที่จะเขียนถึงประเทศสำคัญแห่งหนึ่งในชีวิตเราสักหน่อยนะคะ
พวกเธอเคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเราตั้งชื่อลุกว่า “ซีเรีย” อ๊ะ อ๊ะ
ไม่ใช่ Made in Syria อย่างที่หลายๆ คนสงสัยนะคะ ก็ใช่นะที่เราสองคนไปเที่ยวซีเรียก่อนที่จะมีซีเรีย
แต่ก็กลับมาเมืองไทยก่อนที่จะตั้งท้องถึงสองเดือน ดังนั้นไม่ใช่นะจ๊ะ ไม่ใช่
เหตุผลที่เลือกชื่อนี้ให้ลูกชายคนแรกก็เพราะซีเรียสร้างความทรงจำดีๆ
แก่ชีวิตเราทั้งคู่มากมาย ทำให้คำอธิษฐานของฉันเป็นจริง ทำให้มุมมองเกี่ยวกับการหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่กัน
น้ำใจ มิตรภาพ ความซื่อสัตย์ คนแปลกหน้า เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เราสองคนเลือกไปเที่ยวซีเรียเหตุเพราะคำพูดของไกด์เมื่อยามเราไปเยือนจอร์แดนว่า
“ที่นี่ (จอร์แดน) มีที่เที่ยวไม่มากนักเมื่อเทียบกับซีเรีย ซีเรียมีอะไรให้ดูเยอะมาก
เที่ยวสองอาทิตย์ก็ไม่หมด”
คำพูดนี้ฝังใจฉันมากจนกระทั่งยอมเปลี่ยนแผนการที่จะไปอิหร่านมาเป็นซีเรียแทน ทั้งๆ
ที่คุณสามีก็เตือนแล้วเตือนอีกว่าทำวีซ่าลำบากนะ ปัญหาเยอะ เพื่อนพ้องคนอื่นๆ
ก็ด่าว่าแกจะบ้าเหรอ ไปประเทศอะไรเนี่ย เดี๋ยวก็โดนลักพาตัวหรอก แต่ฉันก็ยังดื้อรั้งดึงดันจะไปให้ได้
ทำทุกทางเพื่อฝ่าฟันกับความไม่มีหลักเกณฑ์ไร้ระเบียบจนกระทั่งได้วีซ่ามาอยู่ในมือพร้อมเดินทาง
สามีเห็นความตั้งใจและความบ้าของฉันก็เลยต้องยอมตกลงปลงใจไปด้วยกัน
เมื่อเท้าเหยียบพื้นดินที่สนามบิน
ก็ประสบปัญหาเลยคือคนขับรถที่นัดกันไว้ไม่มารับ เรานั่งรออยู่ที่สนามบินนานมาก
นั่งจ๋องๆ เป็นชาวต่างชาติหน้าตาประหลาดหงอยๆ สองคน
ฉันเองก็จ๋อยอย่างหนักเพราะสามีด่าว่าประสานงานยังไง
บอกแล้วว่าอย่าไว้ใจประเทศด้อยพัฒนา บลา บลา... ระหว่างที่จ๋อยๆ
อยู่ก็มีคนแปลกหน้าผู้ใจดีหยิบยื่นโทรศัพท์มือถือให้โทรติดต่อเจ้าของห้องที่เราจองไว้
ซึ่งเมื่อได้รู้เรื่องว่ารถที่นัดไว้ไม่มารับก็รีบขับรถมาหาเราทันที
ฉันเหมือนยกภูเขาออกจากอกที่หาทางเข้าเมืองได้สักที...
เมื่อได้สำรวจเมืองดามัสกัสก็ตื่นตาตื่นใจอย่างมากกับเมืองเก่าแก่สวยงาม
ซุค (Souq) หรือตลาดในภาษาอารบิกที่มีอายุกว่าพันปีที่กว้างขวางอลังการมีขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
ยาวคดเคี้ยวทอดตัวอยู่ในกำแพงเมืองเหมือนเขาวงกต ชาวเมืองผู้มีน้ำใจกับคนแปลกหน้า
มัสยิดอุมัยยะฮ์ (Umayyad Mosque) หรือ Great Mosque
of Damascus ที่มีความสำคัญในลำดับสี่ของศาสนาอิสลามและถือว่าเป็นมัสยิดที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เป็นมัสยิดที่ใหญ่โตและสวยงามมาก
ชาวอิสลามที่นี่ก็น่ารักอนุญาตให้สตรีแปลกหน้าต่างศาสนาเข้าไปสักการะและเยี่ยมชมด้านในได้อย่างไม่หวงห้าม
ยินดีให้เรานั่งเงียบๆ สังเกตุผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ผู้มีศรัทธานั่งอ่านพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
รอยยิ้มที่มีให้กับเราสดใสกระจ่างตา
ดวงตาแห่งศรัทธาที่มีให้กับองค์อัลเลาะห์ก็ส่งแสงแรงกล้าไม่แพ้กัน.....
ในตอนแรกเราสองคนนึกว่า ณ
ดินแดนแห่งนี้ที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามต้องเคร่งศาสนามากแน่แต่ไม่ใช่เลย
ผู้คนที่นี้อยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข
ชายผู้ที่เราแวะเวียนไปเยี่ยมชมกิจการร้านพรมแสนสวยบ่อยๆ
เป็นอิสลามแต่ก็ร่วมบริจาคเงินบรูณะโบสถ์คริสต์ ชุมชนคริสต์กับอิสลามก็ติดกัน สาวๆ
มุสลิมไม่ได้คลุมหน้า
สถานที่ท่องเที่ยวที่คนที่นี่รักและดูแลเป็นอย่างดีไม่ต่างจากมัสยิดใหญ่แห่งดามัสกัสคือโบสถ์แห่งเมืองมาลูล่า
(Ma‘loula)
ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่ของชาวคริสต์ สำหรับที่มาลูล่า
ฉันยกไว้ว่าเป็นสถานที่สุดพิเศษแห่งหนึ่งในชีวิต
เพราะที่นี่ผู้คนสามารถพูดภาษาอารมายัค (Aramaic) –
ภาษาเดียวกับพระเยซูเจ้าได้ (ภาษาที่ใช้ในหนัง The Passion of the Christ)
ฉันได้ฟังสวดด้วยภาษานี้แล้วซาบซึ้งในความพยายามดำรงอยู่โดยไม่สูญสลายไปไหนของภาษาและผู้คนที่อนุรักษ์มันไว้เป็นอย่างมาก
นอกจากโบราณสถานมากมายอายุหลายพันปีที่มีอยู่กระจัดกระจายทั่วประเทศแล้ว
ซีเรียยังมีเมืองให้เที่ยวริมทะเลชิลๆ อย่างลาตาเกีย (Latakia) มีไอศกรีมแสนอร่อยระดับฮาเก้นดาสแต่ราคาลูกละ
10 บาท ที่แต่เราสองคนประทับใจที่สุดคงจะเป็นความมีน้ำใจ -- hospitality ของชาวซีเรียนี่แหละ ที่เราไม่เคยพบเห็นที่ไหนในโลกมาก่อน
(คำนวณจากการท่องเที่ยวมาแล้วหลายประเทศมากของคุณสามี)
เราได้กินไอติมฟรียามเมื่อไปเที่ยวทะเลเพราะเจ้าของร้านบอกว่าอยากเลี้ยงแขกแปลกหน้าผู้มาเยี่ยมบ้าน
ถูกชวนด้วยภาษามือไปดื่มกาแฟที่บ้านเพราะเจ้าของบ้านถือคติต้องต้อนรับผู้มาเยือนให้ดีประดุจญาติมิตร
ทานอาหารฟรีที่ร้านหน้าที่พักก่อนกลับเมืองไทยเพราะเจ้าของร้านอยากเลี้ยงส่ง
ได้เพื่อนในตลาดทั้งที่ดามัสกัลและอเลปโป (Aleppo) –
เพื่อนในที่นี้หมายถึงเพื่อนจริงๆเพื่อนเจ้าของร้านขายเม็ดกาแฟที่คุยกันถูกคอที่ให้ความรู้เรื่องกาแฟกับเรามากมาย
เพื่อนที่พอรู้ว่าฉันอยากมีลูกมากว่าห้าปีแล้วแต่ไม่มีเสียที
ก็เสนอตัวให้ใช้บัตรประกันสุขภาพที่ออสเตรเลีย (ที่เค้าเคยไปทำงาน)
ให้ฉันปวารณาตัวเป็นคนในครอบครัวแล้วเอาไปใช้ฟรีเลยหรือจะให้ช่วยยังไงก็บอก
เพื่อนวัยรุ่นที่ลากแขนฉันไปเที่ยวย่านละแวกบ้านในเขตเมืองเก่าอเลปโป
โดยโฆษณาสรรพคุณเสร็จสรรพว่าย่านนี้ไม่มีคนรู้จัก นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมา
แต่มีมัสยิดที่ศักดิ์สิทธิ์มากตั้งอยู่ เด็กหนุ่มคนนี้พาเราสองคนลัดเลาะเมืองไปตามซอกเล็กซอกน้อยจนมาพบกับมัสยิดเล็กๆ
แห่งหนึ่ง
หนุ่มน้อยเล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่านี่คือมัสยิดที่มีรอยเท้าของท่านนบีโมฮัมมัดฝังอยู่และมีน้ำไหลผ่านรอยจารึก
เด็กหนุ่มเพื่อนเรายังเล่าต่อไปว่าใครดื่มน้ำนี้ไปแล้วอธิษฐานไม่ว่าเรื่องใดก็จะสมประสงค์
แล้วเขาก็ลากพวกเรามาถึงสถานที่จริงเมื่อจบเรื่องเล่าพอดี
แต่เวลาก็ช่างประจวบเหมาะเพราะเมื่อมาถึงเป็นเวลาละหมาดและมัสยิดนี้เป็นมัสยิดเล็กๆ
ไม่ต้อนรับผู้หญิงในยามที่ปฏิบัติภารกิจทางศาสนา อิหม่ามไม่อนุญาตให้ฉันเข้า
เอาล่ะสิ แต่เพื่อนแสนดีของเราก็ไม่ยอมแพ้
อ้อนวอนท่านอิหม่ามให้ใจอ่อนจนยอมให้ฉันดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์จนได้
หนุ่มน้อยยัดเยียดถ้วยน้ำเย็นๆ ใส่มือของฉันแล้วเร่งด้วยน้ำเสียงรีบร้อนว่า
“ดื่มเร็วๆๆ อย่าลืมคำอธิษฐานด้วยนะ เค้าไล่ให้ออกไปแล้ว เร็วๆ”
เมื่อเข้าสู่สถานการณ์บังคับ ฉันผู้ซึ่งไม่เคยอยากได้อะไรเป็นพิเศษก็คิดอะไรไม่ออกเลยว่าจะอยากได้อะไรดี
แต่พ่อหนุ่มก็เร่งซะเหลือเกิน เอางี้แล้วกัน ฉันคิด อธิษฐานของให้มีลูกก็แล้วกัน
ฉันหลับตาแล้วก็ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เย็นๆ
ลงกระเพาะไป..................หลังจากนั้นอีกสองเดือนฉันก็ได้สิ่งมีชีวิตมาอยู่ในท้องจริงๆ
จะว่าบังเอิญหรืออะไรก็ไม่สามารถจะรู้ได้ แต่เรื่องนี้ก็กลายเป็นที่มาของชื่อ
“ซีเรีย” ที่ทุกคนเรียกกัน
.
.
.
ชาวซีเรียเป็นผู้คนที่มีน้ำใจ มีใบหน้าเปื้อนยิ้ม
อารมณ์ดีและมีความสุข บ้านเมืองสวยงาม มีที่ท่องเที่ยวมากมาย
มีอาชีพไม่ได้ยากจนข้นแค้น มีทรัพยากรมากมาย สามารถปลูกพืชได้หลากหลาย
มีวัฒนธรรมสืบทอดมายาวนานกว่าหลายพันปี เค้าทั้งหลายไม่ได้อยากทิ้งบ้าน
ไม่อยากระหกระเหเร่ร่อนไปในดินแดนที่ไม่รู้จัก ไปในที่ที่ผู้คนไม่ต้อนรับและสาปส่ง
ไม่ได้อยากลงเรือลอยไปกลางทะเลโดยไม่รู้จุดหมาย แต่เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านมันพังพินาศจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว
พวกเค้าก็เพียงแค่อยากเก็บรักษาแสงวิบวับในประกายตา
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มบนใบหน้าของลูกน้อยและคนที่เค้ารักไว้ให้ได้นานที่สุดเพียงเท่านั้น
ถ้าบ้านของฉันมีแต่เสียงระเบิดทดแทนเสียงละหมาด เสียงกรีดร้องทดแทนเสียงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า
มีแต่ไฟที่เผาผลาญความงดงามที่เคยมีในอดีตให้หมดสิ้น...ราพณาสูรไปเสียวอดวายแล้ว
ฉันเองก็คงเลือกทางเดินได้ไม่ต่างกัน ฉันเองก็คงหวังถึงน้ำบ่อหน้า
หวังถึงดินแดนอื่นที่จะปลอดภัย หวังให้มีอาหารกินอิ่ม หลับสนิท
มีร่างกายครบสามสิบสอง มีเพื่อนที่มีน้ำใจที่หยิบยื่นความช่วยเหลือดั่งสมควรที่มนุษย์จะพึงมีให้กันเหมือนดั่งที่พวกเค้ามีต่อเพื่อนผู้มาเยือนในอดีต
หวังว่าผู้คนจะเข้าใจว่าเขตแดนเป็นแค่เรื่องสมมุติ
หวังว่าความบ้าคลั่งนี้จะจบลงเสียที
ฉันว่าเพื่อนของฉันเหล่านี้มีสิทธิ์จะแสวงหาดินแดนนั้นและมีสิทธิ์ที่จะหวังไม่ใช่หรือ...........
หวังว่าเพื่อนทุกคนของฉันมีจะมีชีวิตรอดและปลอดภัย
https://www.facebook.com/travelmakesushumble/

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น