แม่ครับ...หนูคิดถึงแม่
เรื่องสั้นที่อ่านกี่ครั้งก็ยังทรงคุณค่า
สำหรับคนที่ยังเป็นครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา
ก็ช่วยดูแลกันก่อนที่จะถึงวันหนึ่งที่...
----------------------------------------------------------------------
ประพันธ์โดย...ไม่ทราบ
--------------------------------------------------------------------
ภรรยาของเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุมา
4 ปีแล้ว
เขารู้สึกเคว้างคว้าง
ไม่รู้จะทำหน้าที่ของพ่อและแม่ให้ลูกชายได้อย่างไร ?
ค่ำวันเสาร์
หลังจากที่เขากลับมาจากทำงาน เขาทักทายลูกไม่กี่คำ ก็เข้าห้องอยากนอนด้วยความเพลีย
หลังจากถอดสูทออกแล้ว
ก็ล้มตัวลงไปนอนบนเตียง
“เพล้ง”
เสียงเหมือนชามอะไรแตกสักอย่าง
เมื่อเขาเปิดผ้าห่มดู
ชามบะหมี่กับจานแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งน้ำและเส้นหกเลอะผ้าห่มและที่นอน
เขาหยิบไม้แขวนเสื้อเดินออกไปหิ้วแขนลูกชายที่กำลังเล่นของเล่น
จากนั้นก็ตีไปที่ก้นของลูกด้วยความโมโห
ลูกชายร้องไห้ด้วยความเจ็บ
เขาถามลูกออกไปด้วยความโมโห
“ทำไมเอาบะหมี่ไปกินบนเตียงพ่อ?”
ลูกชายร้องไห้สะอึกสะอื้นบอกกับเขาว่า
“ข้าวที่พ่อหุงไว้เมื่อเช้าผมกินหมดแล้ว
ตอนเย็นนี้ผมหิวข้าว แต่พ่อยังไม่กลับมา..
ผมก็เลยหามาม่าจากในครัว
แต่พ่อบอกผมว่าไม่ให้ยุ่งกับแก๊ส ผมก็เลยเอาน้ำอุ่นจากตู้น้ำดื่มมาชงมาม่า
ผมกินไปชามหนึ่งแล้ว
อีกชามหนึ่งผมชงให้พ่อ
แต่ผมกลัวว่ามันจะเย็นไปซะก่อนที่พ่อจะกลับมา ผมก็เลยเอาผ้าห่มคลุมไว้
ตอนที่พ่อกลับมาผมมัวแต่เล่น จึงลืมบอกพ่อ ผมขอโทษครับพ่อ! ”
เขาปล่อยมือลูกและรีบหันหน้าหนีเดินไปที่ห้องน้ำ
เมื่ออยู่ในห้องน้ำ เขาก็เปิดน้ำเสียงดังเพื่อกลบเสียงร้องไห้โฮของเขา
เขานั่งอยู่ในห้องน้ำครู่ใหญ่
เมื่อออกมาจากห้องน้ำ
เขาเดินไปที่ห้องของลูกชาย
เห็นลูกชายนอนหลับอยู่บนเตียงพร้อมกับกอดรูปของแม่อยู่ในอ้อมกอด ใบหน้ายังเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
จากเหตุการณ์ในวันนั้น
เขาสัญญากับตัวเองว่าจะดูแลลูกให้ดีกว่านี้
แต่เมื่อลูกชายเข้าเรียนชั้นประถมได้ไม่นาน เขาก็ตีลูกชายอีกครั้ง
ช่วงก่อนวันแม่ไม่กี่วัน
วันนั้นคุณครูประจำห้องก็โทรศัพท์มาบอกเขาว่าลูกชายไม่ได้มาเรียน
และวันนี้ก็มีการแสดงของเด็กนักเรียนด้วย
เขารีบลางานเพื่อไปตามหาลูกชาย
เขาเดินตามหาลูกชายแถวบริเวณหน้าโรงเรียนแต่ก็ไม่เจอ
เมื่อเดินไปที่สวนสาธารณะ
ก็เห็นลูกชายกำลังยืนอยู่หน้าเครื่องเล่นสไลเดอร์ เขาโมโหลูกชายมาก
จึงตีลูกชายอีกครั้ง ครั้งนี้ลูกชายไม่ได้แก้ตัวอะไรใดๆ เอาแต่กล่าวคำขอโทษเขาเท่านั้นเอง
หลังจากนั้นหนึ่งปี
เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากบุรุษไปรษณีย์
ว่าลูกชายของเขานำจดหมายปึกใหญ่ที่ไม่มีที่อยู่ใส่ไว้ที่ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้าน
และช่วงนี้ก็เป็นช่วงปีใหม่
เจ้าหน้าที่ไม่มีเวลาว่างมาสนุกกับสิ่งที่ลูกชายเขาทำหรอก
เมื่อเขาทราบดังนั้น ก็รีบบึ่งรถไปที่ไปรษณีย์เพื่อนำจดหมายปึกใหญ่นั้นกลับมา
เมื่อกลับมาถึงบ้าน
เขาก็โยนจดหมายปึกนั้นให้ลูกชายดู
“ทำไมลูกทำอย่างนี้?”
ลูกชายเมื่อเห็นจดหมายก็ร้องไห้
“นี่เป็นจดหมายที่ผมเขียนส่งให้แม่”
เขาได้ฟังก็สะท้อนใจเป็นอย่างยิ่ง
จึงถามลูกชายออกไปว่า
“ทำไมส่งครั้งเดียวตั้งเยอะตั้งแยะ?”
“จดหมายปึกนี้ผมเขียนมาตั้งแต่แม่ตาย
แต่เมื่อก่อนผมยื่นจดหมายใส่ตู้ไม่ได้ เพราะผมยังตัวเล็ก
ตอนนี้ผมสูงพอที่จะหย่อนจดหมายใส่ตู้ได้
ผมก็เลยเอาจดหมายที่เขียนถึงแม่ไว้ทั้งหมดส่งให้แม่อ่านพร้อมๆกัน!”
เมื่อเขาได้ฟังลูกบอก น้ำตาก็คลอเบ้าตา
ไม่รู้จะบอกลูกยังไงดี เขาจึงก้มตัวลงไปกอดลูกไว้
“แม่ของลูกอยู่บนสวรรค์แล้ว
วันหลังถ้าจะเขียนจดหมายถึงแม่
พ่อจะเผาให้นะ จดหมายจะได้ส่งไปบนสวรรค์ให้แม่ได้อ่าน”
ค่ำวันนั้น เมื่อส่งลูกชายเข้านอนแล้ว
เขาจึงหยิบจดหมายปึกใหญ่นั้นมาอ่าน มีจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง ที่ทำให้เขาสะเทือนใจมาก
“ แม่ครับ ผมคิดถึงแม่
วันนี้ ที่โรงเรียนมีการแสดงของแม่ลูก
ผมไม่มีแม่ เลยไม่ได้แสดงด้วย ผมไม่ได้บอกกับพ่อ กลัวว่าพ่อจะคิดถึงแม่
แต่พ่อก็ลางานมาตามหาผม
ผมไม่อยากให้พ่อรู้ว่าผมเหงา ผมเลยแสร้งไปเล่นที่สวนสนุก แม้ว่าพ่อจะด่าผมตีผม
แต่ผมก็ไม่ได้เล่าความจริงให้พ่อฟัง
แม่ครับ
ผมเห็นพ่อนั่งกอดรูปของแม่ทุกวันเลย ผมรู้ว่าพ่อก็คิดถึงแม่เหมือนกับผม แม่ครับ
ผมจำไม่ได้แล้วว่าเสียงของแม่เป็นยังไง? แม่มาเข้าฝันผมหน่อยได้ไหม
ขอให้ผมได้เห็นหน้าแม่อีกสักครั้ง ขอให้ผมได้ฟังเสียงของแม่อีกสักครั้งได้ไหมครับ?
ลุงข้างบ้านบอกผมว่า หากเราคิดถึงใคร
ก่อนนอนให้กอดรูปของเขาไว้ที่อก แล้วเราจะฝันถึงเขาคนนั้น
แต่แม่ครับ ผมกอดรูปแม่ไว้กับอกทุกวัน
ทำไมแม่ไม่มาเข้าฝันผมเลยละครับ! ”
เมื่อเขาอ่านจบ
เขาก็กลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่ให้ดังออกมากลัวลูกได้ยิน เขาเอาแต่ถามตัวเองว่า จะทำอย่างไรถึงจะทดแทนความรู้สึกกำพร้าแม่ของลูกได้?
@@@@@@@@
เมื่อเราเป็นผู้เป็นเหตุให้ลูกเกิดมาบนโลกนี้
เราจึงต่างมีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตที่เกิดขึ้นมานั้นร่วมกัน
อย่าได้ทำแต่งาน หาแต่เงิน
จนลืมหน้าที่ต่อครอบครัว
กว่าท่านจะมีเวลาให้ก็อาจสายเกินไป
โรคอาจลุกลามจนเกินเยียวยา
การใช้ชีวิตอย่างสมดุล ไม่สุดโต่ง
ระหว่างงาน เงิน ครอบครัว สังคม
น่าจะเป็นวิถีชีวิตที่ทรงคุณค่า
แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างก็ตาม
@@@@@@@
Cr : Ghazali Benmad

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น