อิสลาม
หัวข้อ ประวัติศาสตร์แห่งวงกลม 72+1 : มองลงไปในรากลึกของประวัติศาสตร์
อิสลามนั้นว่าด้วยหะดีษที่พูดถึงการ
แตกแยกของประชาชาติอิสลาม ด้วยข้อถกเถียงอันมากมายในเวทีการ
บรรยายวิชาการในการอ้างถึงหะดีษต้นนี้ จึงนำมาสู่ปัญหาและความไม่ชัดเจน
ในการวางกรอบทำความเข้าใจที่มี
ต่อหะดีษนี้นั้นเอง
หะดีษ 73 จำพวกนั้นมิได้ถูกบันทึกทั้งใน
เศาะฮีหฺบุคอรีย์และมุสลิม ดังกล่าวนี้มิได้หมายความว่าหะดีษนี้
ไม่เศาะฮีหฺหะดีษนี้ถูกพบในสุนันทั้งสินและมุสนัดของอิมามอะหฺมัดที่มีสาย
รายงานแตกต่างกัน (อ้างจากบทความ
ของเชค สัลมานว่าด้วยหะดีษ 73 จำพวก) ซึ่งหัวข้อบรรยายครั้งเราจะเห็นถึง
การเชื่อมโยงระหว่างกรอบความเข้า
ใจเรื่องหะดีษ 73จำพวกกับเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์
อันยาวนานเพื่อสำรวจกลุ่มคนที่หะดีษ
กล่าวถึงว่าจะเป็นกลุ่มที่รอดพ้นจาก
ความหายนะแห่งบั้นปลายดังสำนวน
ของหะดีษที่ว่า
((ستفترق أمتي على ثلاث وسبعين فرقة كلها في النار إلا واحدة))
“ ... ประชาชาติของฉันจะแตกออกเป็น 73 จำพวก ทั้งหมดจะลงนรก ยกเว้น ‘กลุ่มเดียว’”รายงานโดย อบู ดาวูด 4597
หะดีษนี้เป็นหะดีษที่ "บอกข้อมูลสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต" ไม่ใช่เพื่อสนับสนุนการแตกแยก และความจริงนี้ก็ไม่ได้บอกว่าพวกที่แตก
ออกไปนั้นไม่นับว่าเป็นอุมมะฮฺอิสลามตรง
กันข้ามยังนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของอุมมะฮฺนี้
และกลุ่มที่รอดต้องสร้างความเข้มแข็งและเชิญชวนให้คนที่รอดมากขึ้น ถึงแม้ความจริงของผู้คนที่แตกแยกออกไปนั้นจะมีอยู่ตลอดพันปีที่ผ่านแต่โลกอิสลามจะเข้มแข็งก็ต้องให้กลุ่มที่อยุ่ในแนวทางที่ถูกต้องมีความเข็มแข้งและช่วยเหลือ
อุมมะฮฺนี้ให้สุดกำลัง อินชาอัลลอฮฺ
::: 72 + 1 = … :::
จากหะดีษดังกล่าว นั้น เราจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่า ไม่ใช่เป็นหะดีษที่สนับสนุนให้เกิดการแตกแยกแต่เป็นการบอกข้อมูลสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ในอนาคตว่าอุมมะฮฺอิสลามจะเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ว่าความจริงนั้นจะเกิดการแตกแยก
ก็ตามแต่เป้าหมายของหะดีษมิได้มีวัตถุ
ที่ต้องการให้ประชาชาติอิสลามเกิดการ
แตกแยกกันเอง ในทางกลับกันหะดีษยังสนับสนุนสร้างความเข้มแข็งกับกลุ่มที่รอดพ้นเพื่อให้พื้นที่แห่งความแตกแยกนั้นเบาบางลง
กลุ่มที่รอดพ้นนั้นเป็นอย่างไร และอีก 72 จำพวกนั้นเป็นเพราะเหตุใดพวกเขาถึง
ได้รับความหายนะ แต่อย่าลืมทั้งหมดนั้นยังคงเป็นประชาชาติของท่านนบี มุฮัมมัดศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ที่ท่านนบี กล่าวว่า “อุมมะตียฺ” ประชาชาติของฉัน นั่นหมายความว่า
ตามหลักการที่ถูกต้องแล้วประชาชาติของท่านนบียังคงสภาพของความเป็นผู้ที่
ยอมรับในความเป็นหนึ่งของอัลลอฮฺ(เตาฮีด) ที่ยังอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งลาอิลาฮะ อิลัลลอฮฺซึ่งไม่ใช่กลุ่มคนที่หลุดออก
จากกรอบของความเป็นประชาชาติอิสลามแต่อย่างใดแต่กระนั้นก็ตามเงื่อนของ
ความเป็นผู้ศรัทธาที่สมบูรณ์นั้นไม่ได้มีแค่ยอมรับหลักการแห่งเตาฮีดอย่างเดียว จริงอยู่ว่านี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดของ
ความเป็นผู้ศรัทธา แต่มันไม่สมบูรณ์ตราบใดที่ยังไม่เคลื่อน
ไหวเพื่อสิ่งนี้อย่างถูกต้อง ฉะนั้นกลุ่มเดียวที่รอดพ้นตามหะดีษต้น
หนึ่งถูกอธิบายด้วยคำพูดของท่านนบีเอง หลังจากที่บรรดาศอฮาบะฮฺได้ถามท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ว่า
‘กลุ่มนั้นเป็นแบบใดกัน’ ท่านตอบว่าไว้หลายสำนวน แต่จะขอหยิบยกสำนวนของอิหม่ามอัต ติรมีซียฺที่ว่า “คือกลุ่มที่ดำเนินตามฉัน
และเหล่าศอฮาบะฮฺของฉัน” ดังนั้นกลุ่มที่รอดพ้นนั้นต้องวางอยู่บน
สิ่งดำเนินตามท่านนบีและบรรดา
ศอฮาบะฮฺของท่านนบีนั่นเอง นั่นคือกลุ่มชนที่จะได้รับทางนำ
ซึ่งพอจะสรุปได้ตรงนี้ว่า กลุ่มเดียวที่รอดพ้นจากหะดีษ 73 จำพวกนั้นไม่ได้ถูกขีดเส้นในความเข้าใจ
แบบแคบๆอย่างที่มีการถกเถียงกัน
ระหว่างกลุ่มทำงานอิสลามกันเอง แนวทางที่กลุ่มตัวเองสังกัดนั้นเป็น
กลุ่มรอดเพียงกลุ่มเดียว แต่ทุกกลุ่มทำงานอิสลามคือส่วนหนึ่ง
ในกลุ่มแห่งการรอดพ้นที่ท่านนบีได้
กล่าวไว้ในหะดีษต้นนนี้ หากว่ายังอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ชาวสลัฟ (บรรพชนรุ่นแรก) ได้กำหนดไว้นั่นคือ แนวทางของอะหฺลุซซุนนะฮฺ วัล ญะมาอะฮฺ
อันเป็นแนวทางการที่อยู่บนซุนนะฮฺของ
ท่านนบีที่ยึดสายเชือกของอัลลอฮฺอย่าง
พร้อมเพรียงกันและไม่สร้างความแตกแยกภายในกันเอง ดังคำสั่งของอัลลอฮฺที่ปรากฎอยู่ในอัล กุรอานหลายอายะฮฺ เช่น
أَنْ أَقِيمُوا الدِّينَ وَلَا تَتَفَرَّقُوا فِيهِ ۚ
“... พวกเจ้าจงดำรงศาสนาไว้ให้คงมั่น และอย่าแตกแยกกันในเรื่องศาสนา ...” [42:13]
เพราะฉะนั้นหลักการของอะหฺลุซซุนนะฮฺ วัล ญะมาอะฮฺ คือแนวทางของกลุ่มที่รอดพ้นเพียง
กลุ่มเดียวที่กล่าวไว้ในหะดีษ ส่วนอีก 72 ตามระบุไว้ในหะดีษซึ่งจำนวนอาจะมีมาก
กว่านั้นหรือน้อยกว่านั้นก็เป็นได้แต่จะชี้
ให้เห็นว่านี่คือกลุ่มพวกที่ถูกเรียกว่า อะหฺลุล ฟิรอก วัล บิดะอฺ คือกลุ่มแตกออกจากแนวทางที่ถูกต้องและกลุ่มที่กระทำอุตริกรรมในหลักการของ
อิสลาม ...
[ จงให้มีขึ้นจากชนกลุ่มหนึ่ง ]
สำหรับภารกิจสำคัญที่สุดของกลุ่มที่รอดพ้น (ฟิรเกาะฮฺ นาญียะฮฺ) นั่นคือการสนับสนุนให้เกิดขึ้นจากส่วน
หนึ่งของพวกเขา ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะเรียกร้องไปสู่ความ
ดีงามและห้ามปรามความชั่วร้าย และเรียกร้องผู้คนไปสู่การมีจิตสำนึก
ในความเมตตาของอัลลอฮฺ เป็นกลุ่มที่คอยยืนหยัดต่อสู้กับความ
อธรรมด้วยสัจธรรมจากผู้เป็นเจ้า ซึ่งกลุ่มชนนี้มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดประวัติศาสตร์เพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งสัจธรรมที่สืบสานจากภารกิจของเหล่าอัมบิยาอฺ ดังที่อัล กุรอานกล่าวว่า
وَمِمَّنْ خَلَقْنَا أُمَّةٌ يَهْدُونَ بِالْحَقِّ وَبِهِ يَعْدِلُونَ ﴿١٨١﴾
“และส่วนหนึ่งจากผู้ที่เราได้บังเกิดนั้นคือ คณะหนึ่ง ซึ่งพวกเขาแนะนำ ด้วยความจริง
และด้วยความจริงนั้น พวกเขาปฏิบัติ โดยเที่ยงธรรม” [7:181]
وَلْتَكُن مِّنكُمْ أُمَّةٌ يَدْعُونَ إِلَى الْخَيْرِ وَيَأْمُرُونَ بِالْمَعْرُوفِ
وَيَنْهَوْنَ عَنِ الْمُنكَرِ ۚ وَأُولَـٰئِكَ هُمُ الْمُفْلِحُونَ ﴿١٠٤﴾
และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้า ซึ่งคณะหนึ่งที่จะเชิญชวนไปสู่ความดี
และใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ
และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่มิชอบและชน
เหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ได้รับความสำเร็จ [3:104]
ซึ่งพวกเขาถูกเรียก “ฏออิฟะฮฺ อัล มันศูเราะฮฺ” (กลุ่มชนแห่งชัยชนะ) หรือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มชนแถวหน้าของประชาชาติอิสลาม และพวกเขาคือใครกันในหน้า
ประวัติศาสตร์ซึ่งในกลุ่มชนนี้เองจะ
ปรากฏเหล่ามุญัจดิดที่จะคอยเข้ามา
ฟื้นฟูศาสนาในตัวของประชาชาติอิสลาม
#เหตุการณ์พลิกหน้าประวัติศาสตร์ของ
กลุ่มชนแห่งชัยชนะ
การเชื่อมโยงระหว่างความเข้าใจที่ถูก
ต้องในหะดีษ 73 จำพวกกับการเคลื่อนไหวในหน้า
ประวัติศาสตร์ของกลุ่มชนแห่งชัยชนะ
นั้นทำให้เราเห็นว่า ฏออิฟะฮฺ อัล มันศูเราะฮฺนั้น กำลังเล่นบทบาทที่
สำคัญมาก ๆ ตราบใดที่กลุ่มชนแห่งชัยชนะมีความ
หนาแน่นนั่นหมายความชั่วร้ายต่างๆ
ก็จะอ่อนด้อยลงไป แต่ถ้าตราบใดที่กลุ่มชนแห่งชัยชนะมี
จำนวนน้อยนิดเบาบางนั่นหมายความ
ว่ากลุ่มที่จะคอยสร้างความแตกแยกที่ออกจากแนวทางที่ถูกต้องและกลุ่มที่สร้างอุตริกรรมแต่งเติมหรือเปลี่ยนแปลงทำลายรากฐานเดิมของศาสนาก็จะหนาแน่นขึ้น
โดยปริยาย
ฉะนั้นกลุ่มชนที่รอดพ้นตามหะดีษ 73 จำพวกนั้นจะต้องให้ความสำคัญต่อ
การมีอยู่ของกลุ่มชนแห่งชัยชนะ ต้องผลักดันเพื่อให้พวกเขาขับเคลื่อน
กันให้มากขึ้น และนี่คือกลุ่มแถวหน้าที่อุบัติขึ้นมาจาก
กลุ่มที่รอดพ้นเพื่อนำพาความเมตตา
และความยุติธรรมมาสู่มวลมนุษยชาติ
จะขอยกตัวอย่างบางเหตุการณ์ที่สำคัญ
ของในภารกิจของกลุ่มแห่งชัยชนะในการพิทักษ์ความถูกต้องของหลักคำสอนให้ยังคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ เหตุการณ์ริดดะฮฺ(การออกนอกศาสนา)นับว่าเป็นเหตุการณ์แรกที่ต้องเผชิญหลังจากการจากไปของท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ผู้ที่หยุดยั้งเหตุการณ์ครั้งนี้คือท่านอบู บักรฺ อัศศิดดี๊ก ผู้เป็นคอลีฟะฮฺคนที่ 1 นำมาซึ่งความสงบและความศรัทธามาสู่หัวใจของผู้คนอีกครั้ง
นับจากนั้นอีกหนึ่งร้อยปีก็ปรากฏ บุรุษท่านหนึ่งซึ่งได้รับฉายาว่า ผู้โปรยอิสลามเข้าสู่สายลม เพราะอิทธิพลของท่านที่มีต่อประชาชาติ
อิสลามนั้นยาวนานถึง 500 ปี ด้วยกับนโยบายที่นำมาความเมตตาของ
อิสลามไปสู่ผู้คนทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้า
สู่ศาสนาอิสลามกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าจนทำให้ไม่มีใครต้องจ่ายค่าญิซยะฮฺ(ภาษีสำหรับ
คนไม่ใช่มุสลิมในดินแดนอิสลาม)ให้กอง
คลังของอาณาจักรอิสลามในเวลานั้น
อีกร้อยปีต่อมาแนวคิดมุอฺตะซิละฮฺจึง
กำเนิดขึ้นโดยคอลีฟะฮฺแห่งอาณาจักร
อับบาสิยะฮฺ ซึ่งนำโดย มะอฺมูน อัร รอชีดได้เชิดชูและบีบบังคับบรรดา
อุละมาอฺในยุคนั้นให้ยอมรับแนวคิดนี้ที่เชื่อว่าอัลกุรอานเป็นมัคลู๊กไม่ใช่กะลามุลลอฮฺ(พระดำรัสของอัลลอฮฺ) แต่อะหฺมัด อิบนุ หัมบัลอุละมาอฺผู้ยิ่งใหญ่ในเวลานั้นคัดค้านแนวคิดที่ผิดเพี้ยนเช่นนี้ จึงทำให้ท่านต้องถูกโบยจากคอลีฟะฮฺ 3 คนด้วยกัน นับตั้งแต่ คอลีฟะฮฺมะอฺมูน อัล-มุอฺตะซิม อัล-วาษิก จนมาสิ้นสุด ณ คอลีฟะฮฺ อัล มุตะวักกิล ซึ่งท่านถูกโบยมา 28 ปี
นี่คือบางช่วงบางตอนจากเหตุการณ์
แห่งประวัติศาสตร์ของกลุ่มที่รอดพ้น
ดังที่ท่านนบีกล่าวว่าพวกเขาคือ บรรดาผู้ที่ดำเนินตามฉันและเหล่าศอฮาบะฮฺของฉัน
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ประวัติศาสตร์แห่งวงกลม 72+1 :
มองลงไปในรากลึกของประวัติศาสตร์
อิสลาม
วันอาทิตย์ที่ 17 มค. 59
เวลา 10.00-12.00 น.
ที่ห้อง VIP อาคารศุนย์ประชุมนานาชาติ มอ.หาดใหญ่
seed ikwan นำเสนอ









































