วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แม่

ความลับในใจของแม่ ทีอยากให้ลูก ๆ อ่าน
 
เมื่อฉันแก่ตัวลง มันอาจไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น
ขอได้โปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
 
ตอนฉันทำแกงหกลงพื้นหรือใส่เสื้อตัวเอง
ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า
อย่าเพิ่งต่อว่าและรำคาญฉัน
ขอให้คิดถึงตอนแรกๆ
ที่ฉันใช้สองมือสอนเธอทำทุกอย่าง
และฉันก็ตามเช็ดในสิ่งที่เธอทำหกอยู่เสมอ
 
 
ตอนฉันเริ่มเล่าแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ
ขอให้อดทนฟังสักนิดอย่าเพิ่งขัดฉัน
ตอนเธอเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ
เป็นหลายสิบรอบ เล่าจนเธอหลับเลย
 
ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยตักน้ำอาบให้
อย่าตำหนิฉันเลยนะ จำตอนที่เธอยังเล็กๆ ได้ใหม?
ฉันต้องคอยทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำ
 
ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน
จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม "ทำไม ทำไม???"
ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม?
 
ตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว
ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงให้เธอหัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ
 
หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่
อย่าเดินหนีไป จงให้เวลาฉันคิดสักนิด
ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไร มันไม่สำคัญหรอก
ขอเพียงมีเธออยู่ฟัง ฉันก็พอใจแล้ว
 
ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ
ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ
 
ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทาง
ให้ความรักและอดทนต่อฉัน
ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ
ในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรัก
อันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ..!!!
,
,
 
ตั้งแต่เล็กจนใหญ่ใครกันเล่า
ที่ป้อนข้าวป้อนน้ำทำทุกสิ่ง
จะหนักเบาเจ้าถ่ายไม่ประวิง
ไม่ทอดทิ้งกอดกกยามตกใจ
.
 
โอ้ลูกจ๋า..ลาอิลาฮฯ..จงยู่คู่กับเจ้า
แม่คอยเฝ้าชูช่วยยามป่วยไข้
ยามลูกนอนสายเปลแม่เห่ไกว
แม้นริ้นไรจะขบกัดแม่พัดวี
.
 
แม่ยอมอดให้ลูกอิ่มก็ยิ้มชื่น
ทุกวันคืนหวังให้ลูกได้สุขศรี
บุญคุณแม่สูงท่วมฟ้าล้นปฐพี
สวรรค์ใต้เท้ามารดานี้ ลูกอย่าลืม
Cr : https://www.facebook.com/daeyah.muslimah?fref=photo

เข้าใจฝ่ายต่างๆในซีเรีย-อิรัก

 
เข้าใจฝ่ายต่างๆในซีเรีย-อิรัก ((((( (ส่วนหนึ่ง ยังไม่หมด)
สถานการณ์ซีเรียและอิรักในขณะนี้
 
นอกจากจะเป็นเรื่องที่มุสลิมถูกเข่นฆ่า รวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบต้องสูญเสียครอบครัว ทรัพย์สินบ้านเรือน ต้องอพยพลี้ภัยแล้ว สิ่งหนึ่งที่เกิดความสับสนหรือฟิตนะฮฺที่ใหญ่หลวงอยู่ในขณะนี้ก็คือเรื่องของข้อมูลข่าวสาร
 
ซึ่งบางฝ่าย และผู้สนับสนุนนั้นได้เผยแพร่ข้อมูลเท็จ ปั้นน้ำเป็นตัว หรือจนกระทั่งกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ทั่วสังคมออนไลน์และลามไปถึงสื่อกระแสหลัก
ปัจจุบันกลุ่มแฟนๆผู้สนับสนุนการปฏิวัติของคสช.และต่อต้านอเมริกาที่วิจารณ์รัฐบาลทหารนั้น ก็ได้กุข่าวสถานการณ์เกี่ยวกับตะวันออกกลางอย่างคลาดเคลื่อนมาก เนื่องจากต้องการป้ายสีสหรัฐอเมริกา แต่ผลคือทำให้กระทบต่อข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโลกมุสลิมไปด้วย
 
นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มชีอะฮฺ ที่กำลังเคลื่อนไหวกันอย่างดุเดือดทั้งในและนอกประเทศ จึงมีการพร้อมใจกันทำสงครามสื่อ พวกเขามีอัตราส่วนน้อยในโลกมุสลิม แต่มีบทบาทสูงมากในสังคม (คล้ายๆกับยิวที่เป็นคนส่วนน้อยของโลก แต่มีบทบาทและกำหนดทิศทางสังคมได้ตามต้องการ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบิดเบือนประวัติศาสตร์อิสลาม ส่วนปัจจุบันก็คือการบิดเบือนสถานการณ์โลกมุสลิม ด้วยเทคนิควิธีการเดียวกัน คือตัดต่อเนื้อเรื่อง, บิดเบือนบริบท, เชื่อมโยงมั่ว จับแพะชนแกะ, สร้างหลักฐานเท็จ กุเรื่องขึ้นโดยไร้มูล, และทั้งปั้นน้ำเป็นตัวจากมูลที่ไม่สมเหตุสมผล เรียกว่าสารพัดวิธีการ
ซึ่งหากใครที่ไม่ได้ใส่ใจศึกษารายละเอียดในเรื่องต่างๆอย่างถี่ถ้วน โดยใช้เหตุผลและเป็นธรรม ก็จะถูกชักจูงให้เชื่อผิดๆ และอาจนำไปสู่การมีจุดยืนที่ผิดไปจากหลักการอิสลามอันบริสุทธิ์
 
เราทุกคนมีหน้าให้ความเป็นธรรมกับทุกสถานการณ์ ซื่อตรงกับข้อมูล ดังนั้นเริ่มต้นของการทำความเข้าใจสถานการณ์ในซีเรียและอิรัก ก็ต้องเริ่มจากการรู้จักตัวตนและฝ่ายต่างๆเสียก่อน ให้รู้ตามข้อมูลตามความเป็นจริง
 
#ฝ่ายต่างๆในสถานการณ์ซีเรียและอิรัก
 
สงครามที่นั่นมี 2 ประเด็นใหญ่ๆคือ 1.) เรื่องของบาชาร อัลอัซซาด แห่งซีเรีย 2.) รัฐอิสลาม (เดาละตุลอิสลาม) หรือ IS ซึ่งนานาประเทศต้องการปราบปราม โดยที่ 2 ประเด็นใหญ่นี้มาเกิดซ้อนกัน และทำให้เกิดการสู้รบกันเป็นหลายฝ่าย ไม่ใช่ว่าแบ่งกันแค่ 2 ฝ่ายเท่านั้น
 
ฝ่ายที่ 1. ซีเรีย : มีศัตรูคือฝ่ายต่อต้านทั้งหมด
> มีพันธมิตรที่ส่งกำลังเข้าร่วมได้แก่ อิหร่าน, ฮิสบุลลอฮฺ, รัสเซีย, และจีนกำลังเตรียมเข้าร่วม
ฝ่ายที่ 2. กบฏซีเรีย : มีศัตรูคือ กองทัพบาชาร และกองทัพ IS
> มีกลุ่ม FSA เป็นกลุ่มฝ่ายค้าน กองกำลังติดอาวุธที่ถอนตัวออกจากฝ่ายรัฐบาล เรียกร้องในเสรีภาพและประชาธิปไตย ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ตะวันตก และพันธมิตรอาหรับ
> มีกลุ่มมุญาฮิดีนต่างๆจำนวนมาก ซึ่งต่อมาได้รวมตัวเป็นญัยชุลอิสลาม (กองทัพอิสลาม) สร้างพันธมิตร Islamic front ได้ กลุ่มนี้ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรอาหรับ
ฝ่ายที่ 3. รัฐอิสลาม (IS) : มีศัตรูคือ ชีอะฮฺซีเรียและอิรักเป็นหลัก รวมถึงทุกฝ่ายที่เป็นภัยต่อรัฐ ทั้งอเมริกา, รัสเซีย, เคิร์ด, พันธมิตรอาหรับและตุรกี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศัตรูใกล้ตัวคือกลุ่มชีอะฮฺในอิรัก และอีกศัตรูตัวฉกาจคืออิสราเอล (ซึ่งเป็นหน้าที่ของ IS ในไซนาย)
> ไม่มีการสนับสนุนจากฝ่ายใดหรือประเทศใดทั้งสิ้น ขณะเดียวกันก็เป็นเป้าโจมตีของทุกฝ่าย ขณะนี้ยังไม่มีพันธมิตรจากประเทศใดๆ นอกจากกลุ่มมุญาฮิดีนย่อยๆบางกลุ่มในปาเลสไตน์ และในซีเรีย
> มีการสร้างเศรษฐกิจด้วยตนเอง บริหารเป็นรัฐปกครองโดยบริบูรณ์ มี 35 จังหวัด ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มติดอาวุธ
ฝ่ายที่ 4. สหรัฐอเมริกา : มีศัตรูคือ IS ส่วนจุดยืนต่อซีเรียคือ มีเป้าหมายโค่นบาชาร
> สนับสนุนกบฏซีเรีย FSA ให้ทุน อาวุธ และฝึกซ้อมรบให้กองกำลัง เพื่อให้ต่อสู้โค่นล้มบาชาร และต่อสู้กับ IS
> สนับสนุนอิรัก สนับสนุนด้านการโจมตีทางอากาศ และฝึกซ้อมรบให้กองทัพอิรัก
> พันธมิตรร่วมของอเมริกาในภารกิจนี้มีหลายประเทศ ที่เป็นประเทศมุสลิมหลักๆได้แก่ ตุรกี, ซาอุดี, กาตาร์
ฝ่ายที่ 5. อิรัก : มีศัตรูคือ IS
> มีผู้สนับสนุนคือสหรัฐอเมริกา และอิหร่าน
ฝ่ายที่ 6. เคิร์ด : มีศัตรูคือ IS และประเทศตุรกี
> (ไม่อยู่ในภาพผังประกอบ เพราะไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ซีเรียโดยตรง) เคิร์ดต้องการแบ่งแยกดินจากตุรกี ส่วนการรบกับ IS คือการชิงพื้นที่
ฝ่ายที่ 7. รัสเซีย : มีศัตรูคือ IS และขัดแย้งกับสหรัฐในลักษณะสงครามตัวแทน
> สหรัฐสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลยูเครน ส่วนทางรัสเซียสนับสนุยฝ่ายกบฏยูเครน ฉะนั้นสงครามยูเครนจึงเป็นการรบกันลักษณะสงครามตัวแทน
> มาถึงสงครามซีเรีย สหรัฐและรัสเซียจึงเจรจากันไม่ลงตัว เพราะสหรัฐต้องการโค่นบาชาร ส่วนรัสเซียเป็นพันธมิตรบาชาร
 เพจ : อัซซาบิกูน

ให้ความสำคัญกับปารีส

 
ชาวโลกให้ความสำคัญกับปารีส
มากกว่าให้ความสำคัญกับซีเรีย
Cr : Gulf News

ปวดเก๊าปวดขาปวดข้อ

 
ที่บ้านลองแล้วได้ผลเกินคาดจริงๆคะ
ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่เก๊าถึงจะทานได้น่ะค่ะ จะปวดขาปวดข้อก็ทานหายค่ะ
ชาตะไคร้ใบเตย แก้โรคเก๊าต์ได้ดีจนเหลือเชื่อ!! คำบอกเล่าจากหมอพื้นบ้านที่เคารพท่านหนึ่งได้กรุณาให้สูตร "ชาตะไคร้ใบเตย แก้โรคเก๊าต์" ปรกติจะมียาสำหรับล้างพิษโลหิตแก้โรคเก๊าต์ให้คนไข้ซึ่งจะมีสมุนไพรทั้งคู่อยู่ในยาอยู่แล้ว แต่สูตรนี้เห็นว่ามีประโยชน์และทำได้เองง่ายๆที่บ้าน แนะนำว่าเป็นของสดๆจะได้ผลดีกว่าหลายเท่า
ส่วนประกอบ
1.ตะไคร้ 4-5 ต้น
2.ใบเตย 2-3 ใบ
3.น้ำสะอาด 2 ลิตร
ต้มสมุนไพรจนเดือด พอเดือดลดไฟลง ต้มต่ออีก 15 นาที ห้ามเปิดฝาโดยเด็ดขาด ครบ 15 นาที ทิ้งไว้ให้เย็น ดื่มแทนน้ำเปล่าติดต่อกัน 1 สัปดาห์ จะล้างกรดยูริคในเลือด สาเหตุของอาการปวดเข่าจากโรคเก๊าต์ได้ดีมากๆแบบไม่ต้องใช้ยาเลยครับ สูตรนี้ได้รับการยืนยันจากคนไข้เองว่า ได้ผลดีเกินคาด!! (ผลข้างเคียงคือ ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น หลีกเลี่ยงการดื่มก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมงShare ต่อๆกันไปคับ ยาง่ายๆ ไม่อันตราย ได้ผลดี และประหยัดเงินเห็นๆ
ที่มา https://www.facebook.com/profile.php?id=100009414987861&fref=photo

นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ซีเรีย


วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บทความที่ ดร.บิลาล ฟิลิปส์แนะให้อ่าน

 

บทความที่ ดร.บิลาล ฟิลิปส์แนะให้อ่าน

บทเรียน 3 ประการ ที่เราสามารถเรียนรู้จากคำแถลงการณ์ของโฆษกดาอิชล่าสุด

1. ในมุมมองของดาอิช ชีวิตมุสลิมทั่วโลก ณ ยามนี้ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง

ดาอิชสามารถสังหารผู้ปฏิเสธทุกคนทั้งอเมริกัน ชาวยุโรปหรือใครก็ตามที่ต่อต้านพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ดาอิชสามารถฆ่าคนเห็นต่างทุกวิถีทางเมื่อมีโอกาส อย่าถามใครมาก อย่าถามความคิดเห็นหรือคำแนะนำของผู้รู้คนไหนให้เสียเวลา ฆ่าพวกเขาให้หมดไมว่าจะเป็นพลเรือนหรือทหาร พวกเขาอยู่ในสถานะเดียวกัน

2. วาระซ่อนเร้นที่สร้างแรงจูงใจกับความเป็นผู้นำของกลุ่มดาอิชคืออะไรกันแน่

ทั้งอัดนานีและบัฆดาดี ไม่เคยให้ราคากับเลือดมุสลิม แม้นว่าจะต้องหลั่งไหลไปยังดินแดนมุสลิมมากมายเท่าไรก็ตาม พวกเขาไม่คิดหรอกว่ามุสลิมชนส่วนน้อยในต่างแดนจะสามารถปกป้องชีวิตได้อย่างไร ตำแหน่งคอลีฟะห์ของเขาจะให้การปกป้องชีวิตพวกเขาได้หรือไม่ เขาไม่สน หรืออาจเป็นไปได้ว่าทั้งสองมีแนวคิดต่อต้านอิสลามอยู่ลึกๆ

- พวกเขาหันกระบอกปืนมายังพี่น้องมุสลิมและมูยาฮีดีนที่กำลังต่อต้านระบอบบัชชาร์ อะสัดแห่งซีเรียที่กำลังจะล่มสลายแล้วในปี 2013

- พวกเขาจัดตั้งศาลชารีอะห์ขึ้นมาเอง โดยไม่ได้สนใจความคิดเห็นบรรดานักปราชญ์อื่นๆแต่อย่างใด

- ดาอิชสามารถเกณฑ์กองทัพจากนานาชาติทั่วโลกมาร่วมแทรกแซงในสมรภูมิได้อย่างเป็นผลสำเร็จ

- ดาอิชสามารถแสดงถึงความน่าเกลียดและบ้าเลือดของอิสลามให้โลกได้เห็นมากกว่ากลุ่มมุสลิมอื่นใดในประวัติศาสตร์ของอิสลาม

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าความพยายามของพวกเขาเป็นไปในทิศทางที่ CIA กำหนดไว้ คือ จะทำอย่างไร ให้การต่อสู้ของกลุ่มมุญาฮิดีนกลายเป็นหมันในอนาคตอันใกล้

 

3. ผู้นำดาอิช มีความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง แต่เพื่อสิ่งใดกันแน่ ?

- เอาเข้าจริงแล้ว เหยื่อที่ตกเป็นเป้าหมายของการถล่มทางอากาศอย่างหนักหน่วงด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์สารพัดชนิดนั้น กลับไม่ใช่ที่มั่นของกลุ่มดาอิช แต่เป็นที่มั่นของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย เราไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าบัฆดาดีจริงใจต่อมุสลิมแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าบัฆดาดีกำลังถูกยืมมือใช้โดยศัตรูเพื่อทำลายล้างมุสลิมนั่นเอง แต่เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

- สุดท้าย ตั้งแต่การประกาศตัวของดาอิช ได้ส่งผลต่อภาพลักษณ์และผลประโยชน์ของมุสลิมอย่างไรบ้าง แม้นอาจดูเหมือนว่าเรากำลังร่วมมือกับชนต่างศาสนิกมาทำลายล้างมุสลิมด้วยกัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้มีปัญญาที่จะไตร่ตรองพิจารณากัน จากนี้ไม่สำคัญว่าจะเป็นอย่างไร อาจมีบางคนที่ยังสนับสนุนบัฆดาดีต่อไป ขอให้จดจำคำพูดหนึ่งที่กล่าวว่า คุณไม่อาจปลุกคนที่แสร้งหลับได้หรอก


แปล รู้ทันแผนร้ายทำลาย "อิสลาม"


ก่อนออกไปทำสงคราบของรัสเซีย

ก่อนออกไปทำศึกของทหารรัสเซีย
ให้พรด้วยไม้กางเขน เพื่อฆ่ามุสลิม ณ ซีเรีย
Cr Mohd Azhar Mohd Ali

อิสลามสอนความรุนแรงกระนั้นหรือ ?

 
อิสลามสอนความรุนแรงกระนั้นหรือ ?
โดย บรรจง บินกาซัน
 
ถาม : อิสลามสอนเรื่องสันติภาพจริงๆหรือ ? ผมเป็นชาวคริสเตียนและไม่ได้เกลียดมุสลิมแต่อย่างใด แต่ผมอ่านพบข้อความในคัมภีร์กุรอานอย่างเช่น และจงฆ่าพวกเขา ณที่ใดก็ตามที่สูเจ้าพบพวกเขา” (กุรอาน 2:191) และ แต่ถ้าพวกเขาหันหลังให้ ก็จงจับพวกเขาและฆ่าพวกเขา ณ ที่สูเจ้าจับพวกเขาได้ และ(ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม)จงอย่าเอาพวกเขามาเป็นมิตรและผู้ช่วยเหลือ” (กุรอาน 4:89) เป็นไปได้อย่างไรที่ศาสนาแห่งสันติภาพจะสอนสิ่งเหล่านี้ ? กรุณาช่วยอธิบายให้หน่อยจะขอบพระคุณมาก เพราะข้อความดังกล่าวข้างต้นจากคัมภีร์กุรอานทำให้เราไม่สบายใจกับศาสนาของคุณ
 
ตอบ : ขอบคุณมากครับสำหรับการที่คุณพูดว่าคุณไม่ได้เกลียดมุสลิม ความเกลียดมิได้เป็นสิ่งดีสำหรับใคร ผมก็อยากจะบอกคุณว่าเรามุสลิมก็มิได้เกลียดผู้ที่มิใช่มุสลิมเช่นกัน ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นคริสเตียน ยิว ฮินดู พุทธศาสนิกหรือศาสนิกอื่นๆหรือแม้กระทั่งผู้ไม่มีศาสนา ศาสนาของเราไม่อนุญาตให้ฆ่าคนบริสุทธิ์โดยไม่คำนึงว่าเขาหรือเธอจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ชีวิตของมนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามคำสอนของกุรอานและทางนำของศาสดามุฮัมมัด
 
คัมภีร์กุรอานกล่าวถึงเรื่องการห้ามฆ่าไว้ว่า และจงอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้ นอกจากโดยความยุติธรรมและกฎหมายเท่านั้น ที่พระองค์ได้ทรงบัญชาแก่สูเจ้านั้นก็เพื่อสูเจ้าจะได้ใช้สติปัญญา” (กุรอาน 6:151) และอัลลอฮฺยังได้ทรงกล่าวไว้อีกว่า และจงอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้เว้นแต่เพื่อความยุติธรรม และผู้ใดถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้น เราได้ให้อำนาจแก่ผู้ปกครอง (ที่จะลงโทษอย่างเท่าเทียมกันหรือให้อภัย) ดังนั้น จงอย่าได้ล่วงเกินขอบเขตในเรื่องการฆ่า เพราะเขา (ผู้ถูกอธรรม) จะได้รับความช่วยเหลือ” (กุรอาน 17:33)
 
ตามคัมภีร์กุรอาน การฆ่าผู้หนึ่งผู้ใดโดยปราศจากความเป็นถือเป็นบาปใหญ่เหมือนกับการฆ่ามนุษยชาติทั้งหมดและการไว้ชีวิตใครคนหนึ่งถือเป็นความดีเหมือนกับการไว้ชีวิตมนุษย์ทั้งหมด (ดูกุรอาน 5:32)
 
อย่างไรก็ตาม คำถามของคุณที่ว่าถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมคัมภีร์กุรอานถึงได้กล่าวว่า จงฆ่าพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่สูเจ้าพบพวกเขา” ? ดังที่นำมาอ้างนั้น คำตอบง่ายนิดเดียว นั่นคือ คุณต้องอ่านข้อความเหล่านี้ทั้งหมดโดยพิจารณาภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของข้อความเหล่านี้ด้วย คุณต้องอ่านข้อความทั้งหมดและถ้าหากอ่านข้อความที่มาก่อนและหลังจากข้อความที่คุณยกมาสักสองสามประโยคก็จะเป็นการดี
 
ลองอ่านข้อความทั้งหมดสิครับ ข้อความทั้งหมดกล่าวดังนี้ :
 
และจงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายสูเจ้า และจงอย่าละเมิด แท้จริง อัลลอฮฺมิทรงรักผู้ล่วงละเมิด
และจงฆ่าพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่สูเจ้าพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขาออกไปจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่สูเจ้าออกไป เพราะการกดขี่ข่มเหงนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าการฆ่า และสูเจ้าจงอย่าสู้รบกับพวกเขาในมัสญิดอัลฮะรอม เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะจะทำร้ายสูเจ้าในที่นั้น ถ้าหากพวกเขาต่อสู้สูเจ้า ก็จงฆ่าเขาเสีย เช่นนั้นแหละคือการตอบแทนผู้ปฏิเสธศรัทธา
แล้วถ้าหากพวกเขายุติ แน่นอน อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ และจงต่อสู้พวกเขาจนกว่าจะไม่มีการก่อความวุ่นวายและการกดขี่เกิดขึ้นและจนกว่าความยุติธรรมและการเคารพภักดีทั้งหมดจะเป็นสิทธิของอัลลอฮฺเท่านั้น แต่ถ้าพวกเขายุติ ก็จงอย่าให้การเป็นศัตรูใดๆเกิดขึ้นเว้นแต่พวกที่สร้างความอธรรมเท่านั้น
เดือนต้องห้ามก็เดือนต้องห้าม เช่นเดียวกับสิ่งที่เคารพสักการะนั้นก็มีกฎแห่งความเท่าเทียมกัน ดังนั้น ถ้าผู้ใดละเมิดต่อสูเจ้า ก็จงละเมิดต่อเขาต่อเขาเช่นเดียวกับที่เขาละเมิดสูเจ้า แต่จงเกรงกลัวอัลลอฮฺและจงรู้เถิดว่าอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับบรรดาผู้ยำเกรง” (กุรอาน 2:190-194)
 
ส่วนข้อความที่สองที่คุณยกมานั้นคุณต้องอ่านทั้งหมดดังนี้ :
 
พวกเขาชอบถ้าหากสูเจ้าปฏิเสธศรัทธาเหมือนดังพวกเขา ดังนั้น สูเจ้าก็จงให้เท่าเทียมกับพวกเขา ดังนั้น จงอย่าได้ยึดเอาใครในหมู่พวกเขาเป็นมิตรจนกว่าพวกเขาจะอพยพในหนทางของอัลลอฮฺ (จากสิ่งที่ต้องห้าม) แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ก็จงจับพวกเขาไว้และฆ่าพวกเขา ณ ที่ที่สูเจ้าพบพวกเขา และไม่ว่ากรณีใดก็ตามจงอย่าเอาผู้ใดในหมู่พวกเขามาเป็นมิตรและผู้ช่วยเหลือ
นอกจากบรรดาผู้ที่เข้าร่วมกับกลุ่มที่สูเจ้ามีสัญญาสันติภาพระหว่างกัน หรือบรรดาผู้ที่เข้ามาหาสูเจ้าด้วยหัวใจที่ยับยั้งพวกเขามิให้ต่อสู้สูเจ้าเช่นเดียวกับที่จะต้องต่อสู้กับพวกเขาเอง และถ้าหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว พระองค์ทรงสามารถที่จะให้พวกเขามีอำนาจเหนือสูเจ้าและพวกเขาจะต่อสู้สูเจ้า ดังนั้น ถ้าหากพวกเขาถอนตัวออกไปจากสูเจ้าและไม่ต่อสู้สูเจ้าแล้วและให้หลักประกันสันติภาพแก่สูเจ้าแล้ว ดังนั้น อัลลอฮฺก็มิทรงเปิดหนทางใดสำหรับเจ้า(ที่จะทำสงครามต่อพวกเขา)
สูเจ้าจะพบพวกอื่นๆที่ต้องการจะได้รับความปลอดภัยจากสูเจ้าเช่นเดียวกับจากพวกเขาเอง คราใดที่พวกเขาถูกส่งกลับไปสู่การล่อลวงอีก พวกเขาก็จะกลับไปสู่สิ่งนั้นตามเดิม ดังนั้น ถ้าหากพวกเขามิได้ถอนตัวออกไปจากสูเจ้าและมิได้ให้(หลักประกัน)สันติภาพแก่สูเจ้าและมิได้ยับยั้งมือของพวกเขาไว้แล้ว ก็จงจับพวกเขาไว้และจงฆ่าพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่สูเจ้าพบพวกเขา ในกรณีของพวกเขาเหล่านี้แหละที่เราได้ให้อำนาจที่ชัดเจนต่อพวกเขา” (กุรอาน 4:89-91)
เมื่ออ่านข้อความจากกุรอานทั้งหมดนี้แล้ว บอกผมหน่อยซิว่ามีข้อความกุรอานดังกล่าวข้างต้นตรงไหนที่อนุญาตให้ฆ่าใครก็ได้อย่างเสรี ? พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานข้อความกุรอานดังกล่าวข้างต้นแก่ท่านศาสดามุฮัมมัดในตอนที่ผู้ปฏิเสธศรัทธาแห่ง มักก๊ะฮฺโจมตีมุสลิมอยู่เป็นประจำ นอกจากนั้นแล้ว คนพวกนี้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาคมมุสลิมในนครมะดีนะฮฺด้วย บางคนอาจกล่าวว่าถ้อยคำดังกล่าวที่ใช้ในยุคที่มีการโจมตีนครมะดีนะฮฺนี้เองที่ทำให้ในสถานการณ์เช่นนี้ มุสลิมจึงได้รับอนุญาตให้โจมตีตอบโต้ ผู้ก่อการร้ายข้อความดังกล่าวข้างต้นนั้นมิใช่การอนุญาตให้มี ลัทธิก่อการร้ายแต่อย่างใด แต่มันเป็นการเตือน ผู้ก่อการร้ายต่างหาก แต่แม้จะเป็นการเตือนก็ตาม คุณก็สามารถเห็นได้ว่าคำสั่งในกุรอานเน้นให้มีการยับยั้งและระมัดระวังแค่ไหน
 
ถ้าคุณจะศึกษาเนื้อหาคำสอนของศาสนาแล้ว คุณจะต้องศึกษาเรื่องราวภูมิหลังของคำสอนดังกล่าวด้วย เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญมาก มิเช่นนั้น คำสอนของศาสนาจะถูกนำไปตีความอย่างผิดๆหรือใช้เพื่อบิดเบือน เป็นเรื่องจริงที่มุสลิมบางคนได้นำเอาข้อความเหล่านี้ไปใช้เพื่อเป้าหมายของตนเอง เรื่องนี้มิได้เกิดขึ้นกับคำสอนของอิสลามเท่านั้น แต่มันยังเกิดขึ้นกับศาสนาอื่นๆด้วย แม้แต่ในคัมภีร์ไบเบิล คุณก็จะเห็นว่ามีข้อความมากมายที่ดูเหมือนว่ารุนแรงมากถ้าหากไม่อ่านควบคู่ไปกับภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
 
ชาวยิวและชาวคริสเตียนหัวรุนแรงหลายกลุ่มได้ใช้ข้อความหลายตอนจากคัมภีร์ไบเบิลไปรับใช้เป้าหมายของตน พวกครูเสดได้ใช้มันต่อต้านมุสลิมและชาวยิว พวกนาซีใช้มันต่อต้านชาวยิว เมื่อเร็วๆนี้ ชาวคริสเตียนเซิร์บก็ได้ใช้มันต่อต้านมุสลิมบอสเนีย และขณะนี้พวกไซออนิสต์กำลังใช้มันต่อต้านชาวปาเลสไตน์อยู่
 
ผมจะขอยกตัวอย่างบางข้อความจากคัมภีร์ไบเบิลทั้งภาคพันธสัญญาเก่าและพันธสัญญาใหม่มาให้เป็นตัวอย่าง และขอให้คุณบอกผมบ้างเกี่ยวกับข้อความต่อไปนี้
 
เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงพาท่านเข้าในแผ่นดินซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะเข้ายึดครองและกวาดไล่ประชาชาติหลายชาติให้ออกไปให้พ้นท่าน คือคนฮิตไทต์ คนเกอร์กาชี คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์และคนเยบุสเป็นประชาชาติซึ่งใหญ่โตกว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน และเมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของท่านและท่านจะตีเขาให้พ่ายแพ้ไปนั้น พวกท่านต้องทำลายเขาให้สิ้นทีเดียว อย่าได้กระทำพันธสัญญาใดๆกับเขาเลย และอย่ามีความเมตตาต่อเขาด้วย พวกท่านอย่าสัมพันธ์กับเขาโดยการแต่งงาน อย่ายกบุตรีของท่านให้แก่บุตรชายของเขาหรือรับบุตรหญิงของเขามาให้แก่บุตรชายของท่าน เพราะว่าจะทำให้บุตรชายของพวกท่านหันเหไปจากเรา ไปปฏิบัติพระอื่นๆ พระเจ้าจะทรงพระพิโรธต่อท่านทั้งหลายและจะทรงทำลายท่านโดยเร็ว แต่จงกระทำแก่เขาทั้งหลายอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงทำลายแท่นบูชาของเขาเสียและหักทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาเสีย....” (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:1-5)
 
เมื่อพวกท่านเข้าไปใกล้เมืองซึ่งท่านจะไปสู้รบนั้น จงเสนอหลักสันติภาพแก่เมืองนั้นก่อน ถ้าเขาตอบท่านอย่างสันติและเปิดประตูเมืองให้แก่ท่าน ก็จงให้ประชาชนทั้งปวงที่พบอยู่ในนั้นทำงานโยธาให้แก่ท่านปรนนิบัติท่าน ถ้าเมืองนั้นไม่ร่วมสันติกับท่าน แต่กลับออกมารบ ก็ให้ท่านเข้าล้อมตีเมืองนั้นได้ เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าประทานเมืองนั้นไว้ในมือท่านแล้ว ท่านจงฆ่าชายทุกคนเสียด้วยคมดาบ แต่ผู้หญิงและเด็ก สัตว์และทุกสิ่งในเมืองนั้นคือของที่ริบไว้ทั้งหมด ท่านจงยึดเอาเป็นของตัว ท่านจงอิ่มใจในของที่ริบมาจากศัตรูของท่านซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ท่านทั้งหลายจงกระทำเช่นนี้แก่ทุกหัวเมืองที่อยู่ไกลจากท่านซึ่งไม่ใช่หัวเมืองของประชาชาติใกล้ๆนี้ แต่ในหัวเมืองของชนชาติทั้งหลายนี้ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดก ท่านอย่าไว้ชีวิตสิ่งใดๆที่หายใจได้เลย แต่จงทำลายเขาเสียให้สิ้นเชิง” (เฉลยธรรมบัญญัติ 20:10-17)
 
เพราะฉะนั้น จงประหารชีวิตด็กผู้ชายเล็กเสียทุกคนและประหารชีวิตผู้หญิงซึ่งได้ร่วมกับผู้ชายเสียทุกคน แต่จงไว้ชีวิตเด็กผู้หญิงที่ยังไม่ได้ร่วมกับผู้ชายไว้สำหรับท่านทั้งหลายเอง” (กันดารวิถี 31:17-18)
แม้แต่ในพันธสัญญาใหม่ เราก็พบข้อความต่อไปนี้ซึ่งอ้างว่าพระเยซูกล่าวแก่สานุศิษย์ของท่าน :
เราบอกเจ้าทั้งหลายว่าทุกคนที่มีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้เขาอีก แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งมีอยู่นั้น จะต้องเอาไปจากเขา ฝ่ายพวกศัตรูของเราที่ไม่ต้องการเราครอบครองเขานั้น จงพาเขามาที่นี่และฆ่าเสียต่อหน้าเรา” (ลูกา 19:26-27)
ที่มา https://www.facebook.com/Banjong.Binkason/posts/550063918503200

Disqus Shortname

Comments system