หุยฮาประชาธิปไตย
บรรจง
บินกาซัน
สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ
ในที่ประชุมสมัยพิเศษเรื่องการตรวจอาวุธร้ายแรงของอิรัค
ประธานาธิบดียอร์จ
ดับเบิลยูบุชได้แสดงจุดยืนและท่าทีแข็งกร้าวในญัตติมาโดยตลอดว่าสหรัฐชาติมหาอำนาจผู้นำประชาธิปไตยของโลกจำเป็นต้องปลดอาวุธอิรัคและจะต้องโค่นอำนาจรัฐบาลซัดดัม
ฮุสเซนลง
ญัตติดังกล่าวสร้างความงุนงงสงสัยให้แก่ชาติอาหรับและประเทศต่างๆที่สหรัฐและชาติยุโรปเรียกว่า
“ประเทศกำลังพัฒนา” เป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
ตัวแทนของชาติอาหรับที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเลือดร้อนต่างวางตัวเฉย ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
คงปล่อยให้ตัวแทนจากชาติต่างๆในอาฟริกาเป็นคนพูด
“ ท่านประธานที่เคารพ
ประเทศเราไม่เจริญก้าวหน้าเหมือนสหรัฐอเมริกาก็จริงอยู่
แต่รัฐบาลของเราก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมสหรัฐจึงดูเร่าร้อนที่จะโจมตีอิรัคเหลือเกิน
อิรัคจะไปมีอาวุธร้ายแรงอะไรเหลืออยู่ ในสงครามระหว่างอิรัคกับอิหร่าน
อาวุธที่สหรัฐให้อิรัคนั้นก็ถูกใช้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว
ขณะนี้ประชาชนอิรัคต้องเดือดร้อนเพราะความยากจน แต่พ่อค้าอาวุธของสหรัฐกลับร่ำรวย
ในสมัยของประธานาธิบดียอร์จ บุช
ผู้พ่อของท่านประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบันก็ถล่มอิรัคด้วยอาวุธจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว
ทำไมถึงจะต้องจองล้างจองผลาญอะไรกันนักหนา
ไอ้ที่ว่าอาวุธที่มีอานุภาพทำลายร้ายแรงสูงนั้น
ผมอยากจะให้ท่านประธานาธิบดีสหรัฐช่วยชี้แจงหน่อยว่ามันถึงอะไร” ตัวแทนจากอูแกนดากล่าวในการอภิปรายตอนหนึ่ง
“ ขอเชิญท่านประธานาธิบดีสหรัฐชี้แจงครับ” ประธานที่ประชุมสหประชาชาติกล่าว
ประธานาธิบดีสหรัฐยืนขึ้น
“ ก็พวกอาวุธนิวเคลียร์
อาวุธชีวภาพและอาวุธเคมีที่จะมีอันตรายต่อชาวโลกครับท่านประธาน”
ทันทีที่สิ้นประโยค
ปรากฏว่ามีตัวแทนจากชาติต่างๆยกมือขึ้นขอพูดพร้อมกันจนตัดสินไม่ได้ว่าใครยกก่อน
“เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ขอเชิญตัวแทนคองโก” ประธานสหประชาชาติชี้ไปทางนั้น
“ ท่านประธาน
อาวุธที่ว่านี้สหรัฐและประเทศอื่นก็มีอยู่ อิสราเอลก็มีอาวุธนิวเคลียร์เป็นร้อยลูก
ทุกประเทศในโลกนี้ก็ทราบดีว่าสหรัฐให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่อิสราเอลมาโดยตลอด
ถ้าประเทศเหล่านี้มี ทำไมเราไม่ปลดอาวุธร้ายแรงตามคำจำกัดความของประธานาธิบดีสหรัฐที่ชาติต่างๆครอบครองด้วยเล่าครับ
? อีกประการหนึ่งครับ
การคว่ำบาตรที่ทำให้พลเมืองอิรัคทั้งเด็ก
ผู้หญิงและคนแก่ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากล้มตายไปนั้นมิใช่อาวุธร้ายแรงกระนั้นหรือ ?”
“ แต่สหรัฐไม่ได้มีไว้เพื่อรุกรานใคร” ตัวแทนของสหรัฐประจำยูเอ็นลุกขึ้นมาสวนทันควันโดยที่ตัวแทนคองโกยังพูดไม่จบ
“ ผมขอเรียนถามหน่อยครับว่ามีครั้งใดในประวัติศาสตร์โลกที่อิรัคเคยยกทัพไปรุกรานสหรัฐ
หรือชาวโคโซโวไปรุกรานยุโรป หรือชาวอินโดนีเซียเคยไปรุกรานออสเตรเลีย”
“ผมเองไม่ชอบซัดดัม เพราะเป็นทรราช มือเปื้อนเลือดพอๆกับนายแอเรียล
ชารอน แต่
ผมชอบสปิริตแห่งความกล้าหาญและความรับผิดชอบของซัดดัมที่ท้าท่านประธานาธิบดีสหรัฐดวลปืนกันตัวต่อตัวจะได้จบๆกันไป
ประชาชนชาวอิรัคและชาวโลกจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน ซึ่งก็เป็นเรื่องถูกต้อง
เพราะประชาชนของสองประเทศนี้ไม่เคยเป็นศัตรูต่อกัน
ถ้าผู้นำทะเลาะกันก็ควรจะตัดสินกันในระดับผู้นำให้มันรู้แล้วรู้รอดไป”
ขณะที่ตัวแทนคองโกพูดอยู่นั้น
มีคนเห็นตัวแทนสหรัฐประจำสหประชาชาติเงี่ยหูฟังประธานาธิบดียอร์จ ดับเบิลยู บุช
“ท่านประธาน
ไม่เพียงแต่อิรัคจะมีอาวุธร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อชาวโลกเท่านั้น
รัฐบาลอิรัคยังไม่เป็นประชาธิปไตยและริดรอนสิทธิมนุษยชนด้วย
หากเราไม่เปลี่ยนแปลงการปกครองของซัดดัม ฮุสเซน
อันตรายก็จะเกิดขึ้นในภูมิภาคแถบนี้
สหรัฐในฐานะผู้นำประชาธิปไตยของโลกมีภารกิจต้องดำรงรักษาประชาธิปไตยไว้” ตัวแทนประจำสหประชาชาติของสหรัฐลุกขึ้นโต้แย้งเพื่อยืนยันจุดยืนของสหรัฐ
ตัวแทนจากเซียราลีโอนขออนุญาตอภิปรายบ้าง
“ ท่านประธานที่เคารพ
เมื่อกี้นี้ที่ประชุมกำลังต้องการที่จะขอทำความเข้าใจจากสหรัฐในเรื่องความหมายของคำว่าอาวุธที่มีอานุภาพทำลายร้ายแรงสูง
แต่แล้วประเด็นการอภิปรายก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
เอาละครับ ผมสรุปอย่างนี้ก็แล้วกันว่าเรื่องอาวุธร้ายแรงนั้น สหรัฐแกล้งโง่
ส่วนเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนนั้น
ผมว่าท่านประธานาธิบดีสหรัฐไม่รู้เรื่องครับ รัฐธรรมนูญของสหรัฐเองก็ไม่ได้ระบุว่าสหรัฐต้องเป็นชาติประชาธิปไตยครับ
และการเลือกตั้งก็ไม่จำเป็นว่าประเทศนั้นจะต้องเป็นประชาธิปไตยเสมอ
ถ้าการเลือกตั้งหมายถึงประชาธิปไตย
ทำไมเมื่อตอนที่ซัดดัมจัดให้มีการเลือกตั้งและได้รับคะแนนสนับสนุนจากประชาชนเต็มร้อย
สหรัฐจึงไม่ยอมรับเล่าครับ ผมว่าการเลือกตั้งในอิรัคยังบริสุทธิ์มากกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดในสหรัฐเสียอีก
มีครั้งไหนในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาที่ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ในการนับคะแนนในรัฐฟลอริดา
ผมว่าถ้านายเจ๊บ บุช น้องชายของท่านประธานาธิบดีสหรัฐไม่ได้เป็นผู้ว่าการรัฐฟลอริดา
นายยอร์จ ดับเบิลยู บุชคงไม่ได้เป็นประธานาธิบดีหรอกครับ
สำหรับเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น อย่าให้ผมพูดดีกว่าครับ”
พูดจบ
ตัวแทนของเซียราลีโอนก็หันไปทางตัวแทนสหรัฐสักครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงนั่งลง
ยังไม่ทันที่ก้นของตัวแทนจากเซียราลีโอนจะสัมผัสเก้าอี้
ตัวแทนจากชาติต่างๆก็ชิงกันยกมือขอพูด
แต่เพื่อเห็นแก่สหรัฐที่เป็นผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของสหประชาชาติ
ประธานที่ประชุมจึงได้ชี้ให้ตัวแทนสหรัฐลุกขึ้นพูด
“ ท่านประธาน
สหรัฐเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดของโลก
เป็นแม่แบบของประชาธิปไตยที่ประเทศต่างๆยึดถือเป็นแบบอย่าง
ด้วยระบอบประชาธิปไตยนี้เองที่สหรัฐจึงเป็นชาติเสรี
เราภาคภูมิใจที่จะกล่าวว่าสหรัฐเป็นประเทศที่มีเสรีภาพมากที่สุดในโลก
มากเสียจนขบวนการก่อการร้ายเกลียดชังเราและโจมตีประเทศเราเมื่อวันที่ 11 กันยายน
2001 และสหรัฐก็ทราบว่าอิรัคมีสายสัมพันธ์กับอุซามะฮ์ บินลาดิน ดังนั้น
สหรัฐจึงมีสิทธิ์ที่จะโจมตีผู้ให้การสนับสนุนผู้โจมตีสหรัฐ”
ตัวแทนจากบูรุนดีลุกขึ้นอภิปรายบ้าง
“ ท่านประธานที่เคารพ
ถ้าขบวนการก่อการร้ายเกลียดชังเสรีภาพอย่างที่ตัวแทนสหรัฐอ้าง
ทำไมอังกฤษและประเทศอื่นๆซึ่งเป็นประชาธิปไตยและมีเสรีภาพเหมือนกับสหรัฐจึงไม่ถูกผู้ก่อการร้ายโจมตีเล่าครับ
?……”
การอภิปรายยังคงดำเนินต่อไปในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐลุกขึ้นเดินออกจากที่ประชุมไปห้องน้ำโดยมีบอดี้การ์ดตามไปส่งและเฝ้ารักษาความปลอดภัยให้ที่หน้าห้องน้ำ
เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐทำธุระส่วนตัวที่โถถ่ายปัสสาวะเสร็จ
แทนที่จะสบายจากการถ่ายทุกข์
เขากลับหน้านิ้วคิ้วขมวดเมื่อสายตาของเขาเห็นข้อความภาษาอังกฤษสั้นๆบนโถปัสสาวะซึ่งแปลได้ความว่า

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น